พาส่องปี 2023 มีรถ EV รุ่นไหนน่าใช้งานบ้าง
กระแสการออกรถใหม่เป็นรถยนต์ไฟฟ้าพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ หลังมีผู้ให้ความสนใจต่อการเปลี่ยนแปลงในแวดวงยานยนต์จำนวนมาก สังเกตได้จากยอดจองรถไฟฟ้าจากการจัดงานต่าง ๆ ที่ได้รับการตอบสนองเป็นอย่างดี สาเหตุมาจากปัจจัยด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงการใช้พลังงานจากน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นพลังงานไฟฟ้าที่ช่วยเซฟค่าใช้จ่ายได้มากกว่า ทั้งยังสามารถชาร์จพลังงานได้เองจากที่บ้าน ช่วยให้เกิดความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ดังนั้นมาดูกันว่ามีรถยนต์ไฟฟ้า ยี่ห้อไหน น่าสนใจบ้าง
รถยนต์ไฟฟ้า 2023 กับ 5 ข้อดีที่ทำให้คนนิยมใช้งาน
- ค่าบำรุงรักษาต่ำ
รถยนต์ไฟฟ้ามีค่าบำรุงรักษาต่ำกว่ารถยนต์ที่มีการเผาไหม้แบบสันดาป เนื่องจากมีชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวน้อยกว่า ดังนั้นค่าดูแลรักษาจึงต่ำกว่ารถยนต์พลังงานน้ำมันทั่วไป
- ช่วยลดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม
รถยนต์ไฟฟ้าไม่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นสาเหตุของโลกร้อน เพราะระบบแบตเตอรี่ไม่มีการเผาเชื้อเพลิง จึงรบกวนสิ่งแวดล้อมน้อยกว่า
- มีเสียงรบกวนน้อยกว่า
รถยนต์ไฟฟ้าให้เสียงรบกวนน้อยกว่า เนื่องจากใช้มอเตอร์เป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อน แตกต่างกับเครื่องยนต์สันดาปที่มีชิ้นส่วนมากมาย ทำให้สามารถขับขี่ได้สะดวกสบายกว่าแบบเครื่องยนต์ทั่วไป
- ประหยัดพลังงาน
รถยนต์ทั่วไปมักต้องเจอกับปัญหาเรื่องราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีความผันผวนสูง ดังนั้นการเลือกใช้พลังงานไฟฟ้าจึงมีความเสถียรมากกว่าและมีราคาค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่ามาก ด้วยเหตุนี้ทำให้ผู้คนหันมาใช้งานรถ EV เพิ่มมากขึ้น
- ชาร์จเองได้ที่บ้าน
รถยนต์ไฟฟ้าสร้างความสะดวกสบายได้มากกว่ารถยนต์ทั่วไปมาก เนื่องจากสามารถซื้อเครื่องชาร์จรถ EV มาติดตั้งได้เองที่บ้าน ซึ่งปัจจุบันเครื่องชาร์จมีราคาที่จำต้องได้ ทั้งมีผู้เชี่ยวชาญมาติดตั้งให้ถึงบ้าน ไม่ต้องกังวลเรื่องชาร์จไฟไม่เข้า รวมถึงไม่ต้องจองคิวชาร์จแบตรถ EV ตามสถานีบริการต่าง ๆ ให้เสียเวลา
รถยนต์ไฟฟ้ายี่ห้อไหนดี 2023 เหมาะเลือกใช้ในชีวิตประจำวัน
ปัจจุบันมีรถยนต์ไฟฟ้าให้เลือกหลากหลายยี่ห้อ แต่ละแบรนด์ต่างตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานได้แตกต่างกันออกไป มาดูกันว่ามียี่ห้อไหนที่ให้ระยะทางดี เหมาะสมต่อการใช้ในชีวิตประจำวันบ้าง
Neta V

เริ่มต้นกันที่ Neta V รุ่นรถยนต์ไฟฟ้าจาก Neta ที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมาก มอเตอร์ให้กำลัง 95 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 150 นิวตันเมตร เร่งได้เร็วทันใจ ขับขี่ได้อย่างคล่องตัว แบตเตอรี่ Lithium-ion Battery ขนาด 40.7 kWh ให้ระยะทางในการขับขี่ 384 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ชาร์จแบบปกติ Normal Charge (AC) 0%-100% ใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง ชาร์จแบบเร็ว Quick Charge (DC) 30% – 80% ใช้เวลาประมาณ 30 นาที มาพร้อมระบบเซฟตี้ชั้นนำมากมายไม่ว่าจะเป็น ABS, EPB, HAC และ TPMS เป็นต้น
BYD Dolphin

ถัดมาเป็น BYD รถไฟฟ้า รุ่น Dolphin ที่มากับดีไซน์ที่ให้ความรู้สึกเหมือนโลมาตัวน้อย เป็นรถยนต์จำนวน 5 ที่นั่ง มอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous Motor ประเภทแบตเตอรี่ BYD Blade Battery (LFP) ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้า BYD Dolphin มากับ 2 รุ่นย่อย ทั้ง Standard และ Extended ที่มีสมรรถนะการขับขี่ของรถยนต์ไฟฟ้าต่างกัน
(1) Standard Model
กำลังสูงสุด 70 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 180 นิวตันเมตร ความจุแบตเตอรี่สูงสุด 44.9 กิโลวัตต์อาวร์ ระยะทางวิ่งสูงสุด 410 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง 12.3 วินาที ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อหน้าขนาดยาง 195/60 R16
(2) Extended Model
กำลังสูงสุด 150 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 310 นิวตันเมตร ความจุแบตเตอรี่สูงสุด 60.48 กิโลวัตต์อาวร์ ระยะทางวิ่งสูงสุด 490 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง 7 วินาที ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อหน้าขนาดยาง 205/50 R17 ขณะที่รุ่นนี้ยังได้ หลังคาแบบ Panoramic หน้าจอแสดงผลด้านคนขับแบบดิจิทัล 5 นิ้ว รวมไปถึงการชาร์จมือถือแบบไร้สาย
Lotus Eletre

ส่วนของ Lotus Eletre เป็น Hyper SUV ไฟฟ้า 100 เปอร์เซ็นต์ ที่เพิ่งเปิดตัวในไทยไปไม่นาน โดยรุ่นที่ได้เข้ามาเปิดตัวในไทยคือ LOTUS ELETRE S และ LOTUS ELETRE R ให้แบตเตอรี่ขนาด 800 โวลท์ 112 กิโลวัตต์อาวร์ ชาร์จไฟได้รวดเร็ว มีระบบระบายความร้อนที่ยอดเยี่ยม มีช่องลมช่วยระบายความร้อนจากยางรถ SUV ขับเคลื่อน 4 ล้อ นอกจากนี้ยางOEM คือ Pirelli P Zero ที่มีคุณภาพสูง ส่วนภายในเป็นหนังสวย พร้อมด้วยลำโพงหรู 23 ตัวในรุ่น S และรุ่น R ที่เน้นความเบาอยู่ที่ 15 ตัว เบาะใหญ่นั่งสบาย พื้นที่เก็บของกว้างขวาง แอร์แยกอิสระ 4 โซน ด้านประสิทธิภาพมีความแตกต่างกันดังนี้
(1) Lotus Eletre S
กำลังเครื่องอยู่ที่ 603 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กิโลมตรต่อชั่วโมง ภายในเวลาเพียง 4.5 วินาที วิ่งได้ระยะทาง 600 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง
(2) LOTUS ELETRE R
ให้กำลังสูงสุด 905 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเพียง 2.95 วินาที สามารถวิ่งได้ที่ 490 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง
TESLA Model Y

สำหรับ TESLA เป็นรถยนต์ไฟฟ้ายี่ห้อดังที่หลายคนได้ยินชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน โดย Model Y เหมาะเป็นรถครอบครัว ด้วยมีความสามารถในการเก็บสัมภาระกว่า 2,100 ลิตร นั่งโดยสารได้ 5 คน ขณะที่ด้านผู้ขับขี่สามารถมองเห็นเส้นทางข้างหน้าได้อย่างรอบด้านด้วยตำแหน่งเบาะนั่งที่สูงและแผงหน้าปัดที่ต่ำ โดยสมรรถนะสามารถแบ่งย่อยได้ 3 รุ่นดังนี้
(1) ขับเคลื่อนล้อหลัง
แบตเตอรี่รุ่น Standard Range ความเร็วสูงสุด 217 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระยะทาง 455 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง การเร่งความเร็ว 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในเวลา 6.9 วินาที ขับเคลื่อนล้อหลัง ซูเปอร์ชาร์จสูงสุด 170 กิโลวัตต์
(2) Long Range
แบตเตอรี่รุ่น Long Range ความเร็วสูงสุด 217 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระยะทาง 533 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง การเร่งความเร็ว 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายใน 5 วินาที ขับเคลื่อน 4 ล้อมอเตอร์คู่ ซูเปอร์ชาร์จสูงสุด 250 กิโลวัตต์
(3) Performance
แบตเตอรี่รุ่น Long Range ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระยะทาง 514 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง มีอัตราเร่งความเร็ว 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 3.7 วินาที ขับเคลื่อน 4 ล้อมอเตอร์คู่ ซูเปอร์ชาร์จสูงสุด 250 กิโลวัตต์
MG MAXUS 9

ปิดท้ายด้วย MG MAXUS 9 เป็นรถยนต์อเนกประสงค์พลังงานไฟฟ้า 100 เปอร์เซ็นต์ ขนาด 7 ที่นั่ง เหมาะสำหรับครอบครัวใหญ่ที่พร้อมเดินทางไปได้ทุกจังหวัด ภายในทุกออกแบบด้วยสไตล์ Premium ให้ความรู้สึกสะดวกสบายสูง มีที่นั่งแบบ Captain Seat ปรับด้วยระบบไฟฟ้า 12 ทิศทาง ระบบความปลอดภัยรอบคันมากกว่า 25 ชนิด ประเภทมอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous Motor แบตเตอรี่ Lithium-ion Battery กำลังสูงสุด 245 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร ความจุแบตเตอรี่ 90 กิโลวัตต์อาวร์ ให้ระยะทางการวิ่งสูงสุด 540 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง
โดยตัวของ MG MAXUS 9 จะถูกแบ่งออกเป็น 2 รุ่น ทั้ง X และ V ซึ่งจะมีความแตกต่างกันในเรื่องของระบบให้ความสะดวกสบายภายในเป็นหลัก
เมื่อใช้รถยนต์ไฟฟ้า ยางต้องตอบสนองได้ถึงใจ

การเลือกใช้ยางรถยนต์ไฟฟ้า 100 เปอร์เซ็นต์ ควรใช้ยางที่มีมาตรฐานและเทคโนโลยีตอบสนองตรงความต้องการ อย่าง ELECT™ เทคโนโลยีจาก Pirelli ที่ช่วยลดการสูญเสียพลังงานและเพิ่มระยะทางในการใช้งานแบตเตอรี่ได้มากถึง 10% ทำให้เดินทางได้ไกลมากขึ้น อีกทั้งยาง EV พิเรลลี่ถูกออกแบบมาให้รับมือแรงบิดมหาศาลของเครื่องยนต์ไฟฟ้า และได้รับการพัฒนาเรื่องของประสิทธิภาพการเร่งและการเบรกให้ดียิ่งขึ้น ขับขี่ได้อย่างสนุก สะดวกสบาย และเพิ่มความปลอดภัยยิ่งขึ้น มอบความเงียบที่เหนือชั้นกว่า เพราะถูกออกแบบมาให้ลดเสียงรบกวนภายในห้องโดยสารได้มากถึง 20%
หากอยากเสริมความปลอดภัยให้กับรถยนต์ไฟฟ้าของคุณ สามารถติดต่อ Pirelli Thailand หรือ Pirelli by ATV ตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของแบรนด์พิเรลลี่ เพื่อขอรับคำปรึกษาสอบถามเรื่องการซื้อยาง นอกจากนี้ยังมีบริการหลังการขายยอดเยี่ยม มั่นใจได้ด้วยประกันยาง “บาด-บวม-แตก” เคลมฟรี 1 ปี หรือระยะทาง 25,000 สนใจติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่อินบอกซ์เฟซบุ๊ก m.me/PirellibyAsiatires