ใช้งานรถยนต์ผิดประเภทส่งผลเสียต่อตัวรถมากกว่าที่คิด
รถยนต์ถูกออกแบบมาให้รับน้ำหนักได้ดี ทั้งน้ำหนักของตัวรถเอง น้ำหนักผู้โดยสาร และน้ำหนักสิ่งของต่าง ๆ ที่บรรทุกบนรถ ซึ่งรถแต่ละประเภทมีข้อจำกัดในการบรรทุกน้ำหนักแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับพื้นที่ว่างในการบรรทุก ประสิทธิภาพยางรถยนต์ในการรับน้ำหนัก และความแข็งแรงของอะไหล่รถในการรับน้ำหนักต่าง ๆ คนที่ต้องการใช้รถยนต์ส่วนตัวบรรทุกของหนักจึงควรรู้ข้อกฎหมายเกี่ยวกับการบรรทุกของหนัก และวิธีปฏิบัติตนเพื่อเพิ่มความปลอดภัยเมื่อต้องบรรทุกของหนักเสียก่อน เพื่อให้การบรรทุกของหนักไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ร่วมถนนคนอื่น
การใช้รถยนต์ส่วนตัวบรรทุกของหนัก
รถยนต์ส่วนตัวสามารถนำมาบรรทุกของหนักได้ตามที่ยางรถยนต์กำหนด การคำนวณน้ำหนักที่รถคันหนึ่งสามารถรับได้ให้ดูที่ดัชนีการรับน้ำหนักของยางแต่ละเส้น (Load Index) นอกจากคำนึงความสามารถในการรับน้ำหนักของรถยนต์แต่ละคันแล้ว ยังควรรู้เงื่อนไขตามกฎหมายของการบรรทุกของหนักบนรถด้วย
รถกระบะบรรทุกของ
- รถกระบะเป็นรถที่ออกแบบมาสำหรับรับน้ำหนักอยู่แล้ว มีพื้นที่กระบะท้ายสำหรับใส่ของ การใช้รถกระบะบรรทุกสิ่งของมีข้อควรคำนึงถึงดังนี้
- สิ่งของต้องไม่กว้างกว่าตัวรถ สามารถบรรทุกสิ่งของที่มีความยาวได้ โดยความยาวไปด้านหน้าต้องไม่เกินกระโปรงรถ และความยาวด้านหลังไม่เกิน 2.5 เมตร ในขณะที่ความสูงจะไม่เกิน 3 – 3.8 เมตรจากพื้น ความสูงจะขึ้นอยู่กับความกว้างของรถกระบะประกอบด้วย
- เจ้าของรถต้องหาผ้าแดงมาผูกสิ่งของ หากมีการบรรทุกของยื่นออกจากตัวรถ เพื่อเป็นสัญญาณให้รถคันข้างหลังใช้ความระมัดระวัง
- หากต้องการดัดแปลง หรือตกแต่งท้ายกระบะเพื่อความสะดวกในการบรรทุกของ เช่น การติดหลังคา การติดตะแกรงเหล็ก จะต้องนำรถไปตรวจสภาพและขอจดทะเบียนใหม่ที่กรมการขนส่งทางบก หากเล่มทะเบียนไม่อัปเดตลักษณะกระบะของรถที่เปลี่ยนไป เจ้าของรถจะมีความผิดตามกฎหมาย
นอกจากรถกระบะแล้ว รถประเภทอื่น ๆ ก็สามารถบรรทุกหนักได้ ไม่ว่าจะเป็นรถ SUV หรือรถเก๋งบรรทุกหนัก แต่น้ำหนักที่รับได้ และความสะดวกในการบรรทุกสิ่งของอาจจะไม่โดดเด่นเท่ารถกระบะที่มีพื้นที่หลังรถสำหรับบรรทุกของโดยเฉพาะ
ข้อควรระวังเมื่อบรรทุกของเกินตัวรถ
การบรรทุกของหนักเกินตัวรถส่งผลเสียต่อรถยนต์โดยตรง และส่งผลต่อการขับขี่ด้วย ผู้ใช้รถบรรทุกน้ำหนักเกินควรระวังสิ่งต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
- ควบคุมรถได้ไม่ดี
การที่มีสิ่งของน้ำหนักมากอยู่ในรถ ทำให้รถมีความอืดกว่าเดิม และหากสิ่งของนั้นอยู่ส่วนท้ายรถจะทำให้หน้ารถลอยขึ้น จนการบังคับทิศทางทำได้ยาก ควรขับช้า ๆ เพื่อป้องกันการเบรกไม่อยู่
- ผิดกฎหมาย
หากมีการบรรทุกน้ำหนักเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดจะได้รับโทษตามกฎหมาย ยกตัวอย่างรถกระบะสามารถบรรทุกได้ไม่เกิน 1 ตัน/คัน และห้ามดัดแปลงท้ายกระบะเพื่อการบรรทุกโดยไม่แจ้งกรมการขนส่ง มิเช่นนั้นจะโดนปรับไม่เกิน 2,000 บาท ผู้ใช้รถจึงควรระวังเรื่องการบรรทุกน้ำหนักเกินเอาไว้ด้วย
- กินน้ำมัน
การบรรทุกของหนัก กินน้ำมันรถมากขึ้น เพราะเครื่องยนต์ต้องทำงานหนักขึ้น ใช้น้ำมันมากขึ้นในการเดินทาง ผู้ขับขี่จึงควรจัดวางสิ่งของในรถให้เป็นระเบียบ เพื่อกระจายน้ำหนักให้มีความสมดุล ช่วยให้ไม่เปลืองน้ำมันมาก
- สร้างความเสียหายต่อยางรถยนต์
การบรรทุกของหนักส่งผลต่อลมยางรถยนต์ เพราะน้ำหนักจะกดทับไปบนยางรถยนต์จนทำให้ยางแบนเร็วกว่าเดิม นอกจากนั้นยังอาจทำให้ยางเกิดความเสียหายจากการรับน้ำหนักที่มากเกินไปอีกด้วย ในกรณีนี้การประกันยางรถยนต์หลายแห่งจะไม่รับประกันหรือเคลมยางเส้นใหม่ให้ เพราะถือว่าความเสียหายเกิดจากการใช้งานยางรถยนต์ผิดประเภทของผู้ขับขี่เอง
ก่อนบรรทุกของหนักควรพิจารณาความสามารถในการรับน้ำหนักของรถยนต์เสียก่อน ไม่ควรบรรทุกน้ำหนักเกินที่รถจะรับไหว หากเป็นผู้ที่ใช้งานรถในการบรรทุกน้ำหนักเป็นประจำควรเลือกยางรถยนต์ที่มีคุณสมบัติรับน้ำหนักได้ดี วิ่งบนทางออฟโรดได้ มีการยึดเกาะและการรีดน้ำดี แนะนำยางรถยนต์ Pirelli รุ่น Scorpion ที่ออกแบบมาสำหรับรถกระบะ รถ SUV และรถบรรทุกน้ำหนักที่ใช้งานในชีวิตประจำวัน ช่วยให้การใช้งานรถสะดวกและปลอดภัยมากขึ้น สามารถสั่งซื้อยางรถยนต์ Pirelli ได้ที่ร้านค้าจำหน่ายทั่วประเทศ สอบถามเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ หรือเฟซบุ๊ก m.me/PirellibyAsiatires